นับตั้งแต่โลกรู้จักการทำกระดาษเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลในยุคอียิปต์โบราณที่เรียกว่ากระดาษปาปิรุส มาถึงการผลิตกระดาษที่ใช้เขียนหนังสือได้ทีละมากๆ โดยชาวจีนเมื่อราวปี ค.ศ.105 กระดาษก็ได้กลายเป็นวัสดุที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันมากมาย ทั้งการจดบันทึกข้อความ การพิมพ์หนังสือ บรรจุภัณฑ์ ธนบัตร กระดาษวาดรูป ฯลฯ
ปัจจุบัน โลกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว “กระดาษทำมือ” ที่ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในการผลิตเหมือนจะถูกลดทอนความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ ในสังคมที่เข้าสู่ยุคไร้กระดาษ แต่แท้จริงนั้นตำนานความรู้ของกระดาษทำมือที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรษยังไม่สูญหายไปไหน ตรงกันข้ามกลับถูกทำให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ โดยหนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดในการรักษาคุณค่าของกระดาษทำมือไปพร้อม ๆ กับความพยายามรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนทำกระดาษที่อยู่คู่เมืองเชียงใหม่มาช้านาน ก็คือ ธนากร สุภาษา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษจากใยธรรมชาติ ภายใต้แบรนด์ ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ (Papa Paper Craft) ที่กำลังมีผลงานบอกเล่าเสน่ห์ของกระดาษทำมือที่สะท้อนเรื่องราวทั้งกระบวนการผลิต จิตวิญญาณ ความเปลี่ยนแปลง พร้อมนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงรูปแบบชีวิตที่อยู่ร่วมกับการผลิตกระดาษมาเกือบทั้งชีวิต ในนิทรรศการ “PAPER BLOG” ที่จัดแสดงไว้ที่ TCDC ในช่วงเวลานี้
“กระดาษไม่มีวันตาย และการเดินทางของกระดาษก็ไม่มีที่สิ้นสุด”
นวัตกรรมย้อนแย้งของกระดาษ
ภูมิหลังของ ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ เริ่มจากผู้เป็นบิดาสร้างธุรกิจกระดาษสาทำมือที่หมู่บ้านต้นเปา ในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมที่ส่งกระดาษสาให้กับหมู่บ้านบ่อสร้างนำไปผลิตพัดและร่ม ที่นักท่องเที่ยวมักซื้อหาไปเป็นของขวัญของฝาก ครั้นเมื่อธนากรเข้ามาบริหารธุรกิจในฐานะทายาทรุ่นสองก็มีมุมมองว่าการนำกระดาษไปทำเพียงร่มและพัดนั้นไม่ได้นำไปสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ เพราะใคร ๆ ก็สามารถเลียนแบบได้ ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มักมีไอเดียแปลกใหม่เขาจึงนำดีไซน์และนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ เน้นการเป็นสินค้าประเภท Life style, Interior, Gift & Premium และ Eco packaging ในสไตล์ Minimal design โดยมีตลาดต่างประเทศเป็นลูกค้าหลัก
ที่สำคัญ เขายังสามารถพลิกภาพจำของกระดาษทำมือไปสู่นวัตกรรมกระดาษที่มีฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ที่ใครต่อใครคาดคิดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น
กระดาษกันน้ำ โดนน้ำแล้วไม่ขาด สามารถใส่น้ำไว้ในถุงได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เหมาะสม ต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์จานกระดาษกันน้ำที่ใส่อาหารได้ และเตรียมออกสู่ตลาดเร็ว ๆ นี้
กระดาษไม่ลามไฟ ช่วยให้ไฟไม่ลามต่อ เมื่อเกิดไฟไหม้ก็จะไหม้เฉพาะจุด เหมาะสำหรับโคมไฟกระดาษ วอลล์เปเปอร์ปูผนังภายในอาคาร เป็นต้น
กระดาษดูดกลิ่น มีคุณสมบัติดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เช่น ในรถ ห้องน้ำ ห้องครัว ตู้เสื้อผ้า หรือเป็นตัวดูดซับกลิ่นในรองเท้า
กระดาษกรองฝุ่น ไอเดียที่เกิดจากปัญหาฝุ่นควันในเมืองเชียงใหม่ โดยบริษัทได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ องค์กรมหาชน (NIA) ในการวิจัยกระดาษเส้นใยธรรมชาติที่สามารถกรองฝุ่นได้ถึงระดับ 2.5 ไมครอน สำหรับการทำเป็นกระดาษกรองฝุ่นในเครื่องปรับอากาศ ซึ่งทางบริษัทตั้งใจนำออกสู่ตลาดในปลายปี 2564 นี้
นอกจากนี้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ ยังได้ออกผลิตภัณฑ์หน้ากากอนามัยจากกระดาษให้เลือก 2 แบบ คือ หน้ากากจากเส้นใยกระดาษสา 100% และเส้นใยกระดาษสาผสมเส้นใยพืชชนิดอื่น เช่น ข้าวโพด เป็นต้น พร้อมมีการเคลือบสารฆ่าเชื้อซิลเวอร์ (Ag+) มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยังเคลือบสารกันน้ำเพื่อป้องกันสารคัดหลั่งจากภายในและภายนอกที่ติดมากับหน้ากากเข้าสู่ร่างกาย หน้ากากกระดาษนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ 5-7 ครั้ง(แล้วแต่การใช้งานของผู้ใช้) ที่สำคัญยังสามารถย่อยสลายได้ภายในหนึ่งปี
“นวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นจะเริ่มจากชุดความคิดของคนทั่วไปที่ว่า ‘กระดาษทำอะไรไม่ได้’ บ้าง หรือการย้อนแย้งว่า “กระดาษไม่ถูกกับอะไรบ้าง” ผมเลยคิดเรื่องน้ำกับไฟเป็นอันดับแรก ผมได้กระดาษกันน้ำเป็นนวัตกรรมแรก ต่อด้วยกระดาษไม่ลามไฟ เพราะมันช่วยดึงความสงสัยใคร่รู้ของคนให้มาหยุดที่บูธเราเวลาไปร่วมงานแสดงสินค้า งานโชว์เคสต่าง ๆ ผมคิดว่าเมื่อมีการถามเพราะความสนใจและอยากรู้ว่าทำได้ยังไง ทำได้จริงเหรอ ส่วนการเจรจาธุรกิจมีหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ได้เชื่อมโอกาสให้คนได้เข้ามาคุย มารู้จักเรา” ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี
เติมคุณค่าด้วยงานวิจัย
ในฐานะที่เป็นนักวิจัยเองด้วย ธนากรบอกว่า ตัวเขาให้ความสำคัญกับกระบวนการวิจัยตลาดเพื่อนำผลการวิจัยมาตกผลึกความต้องการของลูกค้าว่าเขาเหล่านั้นต้องการสินค้าอะไร ซึ่งปัจจุบันมีหลายวิธีในการทำแบบสำรวจทั้งการออกแบบสอบถามทั่วไป กูเกิลฟอร์ม หรือแบบสำรวจในเฟซบุ๊ก แล้วจัดเรียงลำดับให้เห็นโซลูชั่นที่ลูกค้าต้องการ แล้วนำเกณฑ์ดังกล่าวมาทำวิจัยร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ซึ่งตัวเขานั้นจะทำงานร่วมกับนักวิจัยทางภาคเหนือที่มีความถนัดในแต่ละด้าน โดยกำหนดไว้ว่าจะมีงานวิจัย 2 ชิ้นในแต่ละปี ครึ่งปีสำหรับการทำวิจัยเส้นใย และอีกครึ่งปีสำหรับการทำต้นแบบผลิตภัณฑ์มาวิเคราะห์ตลาด ด้วยวิธีนี้จะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไปได้ไกลและมีความยืดหยุ่นกว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่
“ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องใช้งานวิจัยเป็นตัวนำ และการทำวิจัยที่ใช้ต้นทุนต่ำคือทำร่วมกับมหาวิทยาลัยซึ่งมีอยู่มากมายทั่วประเทศ เข้าไปหา เข้าไปคุยกับนักวิจัย เดี๋ยวโซลูชั่นจะมาเอง แม้จะมีถูกบ้างผิดบ้าง ผมก็มีผิดเยอะแยะ แต่พอจับจุดได้เราก็จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปได้ถูกทาง ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ มีงานวิจัย 40-50 ชิ้น แต่เราประสบความสำเร็จและโชว์เคสได้ 4-5 อย่างเอง ผมเคยทำรองเท้ากระดาษสำหรับใช้ในโรงแรม ในออนเซ็น ด้วยนะ แต่ตอนนั้นยังกันน้ำไม่ได้ 100% ตอนนี้กระแสโควิดทำให้ทุกคนมาคิดเรื่องผลิตภัณฑ์ใช้แล้วทิ้ง โอกาสทางการตลาดจึงต่างกัน ปีนี้อาจจะไม่เวิร์ก แต่ปีหน้าทุกคนรู้ว่ารองเท้าคู่นี้ใส่แล้วมีซิลเวอร์นาโนฆ่าเชื้อ แถมย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มันอาจขายได้ก็ได้ เพราะของที่เมื่อก่อนไม่เวิร์ก มันอาจจะเวิร์กตอนนี้ก็ได้” ธนากรหัวเราะ
สำหรับแผนต่อยอดผลิตภัณฑ์กระดาษเส้นใยธรรมชาติในช่วงปี 2564-65 นั้นจะเป็นเรื่องของ Plant-based โดยธนากรเปิดเผยว่า ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นคิดถึงเรื่องการทำเนื้อเทียมจากพืช ทั้งที่ความจริงแล้ว Plant-based สามารถนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ได้มากมาย อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดผลิตภัณฑ์ที่จะสร้างความว้าวครั้งใหม่ให้ทราบได้ แต่เขาก็ปักธงไว้ว่าไม่เกินปีหน้า ทางบริษัทก็จะมีผลิตภัณฑ์บนฐาน Plant-based ได้แน่นอน
เดินทางไปพร้อมกับสังคมและชุมชน
ซีอีโอ ซิมพลิ เด็คคอร์ กล่าวต่อไปว่า เสน่ห์ของกระดาษทำมือนั้นอยู่ที่การเป็นกระดาษที่ผสมผสานระหว่าง”ฟังก์ชั่น” การใช้งานกับ ”อีโมชั่น” อารมณ์ ความรู้สึก เสน่ห์กระดาษทำมือนอกจากการจับ การสัมผัส การมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาในชุมชน จึงมีเรื่องของคุณค่าทางใจซึ่งสามารถนำไปเสริมหรือต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ได้
ปัจจุบัน หมู่บ้านต้นเปายังถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านกระดาษทำมือเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย และทำกระดาษสาสำหรับพัดและร่มบ่อสร้างมาประมาณกว่า 100 ปีแล้ว การทำกระดาษของหมู่บ้านต้นเปาเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดกันมา มีเรื่องราวค่อนข้างชัดเจน แข็งแรง เมื่อนำภูมิปัญญามาต่อยอดทางด้านนวัตกรรมเส้นใยพืชต่าง ๆ จึงกลายเป็นเสน่ห์ของ ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ ในการเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์รุ่นใหม่ที่ใส่ใจผลิตภัณฑ์รักโลก ตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการพัฒนาจากเส้นใยธรรมชาติ ในพืชเกือบทุกชนิดในประเทศไทย
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศของชุมชนต้นเปาให้เป็นสถานที่ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมในเชิงการผลิต มีการรีไซเคิลระบบน้ำให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และการบริหารจัดการโรงงานผลิตกระดาษภายใต้คอนเซปต์ “ไม่เหลืออะไรให้ทิ้ง” (Zero waste) ขณะเดียวกันการทำธุรกิจของ ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ ก็ยึดหลัก “ชุมชนอยู่ได้ บริษัทอยู่ได้” ด้วยระบบการทำงานที่ช่วยให้ทุกคนมีรายได้ในทุกภาคส่วน เป็นการสร้างเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน ตามหลักคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9
“เคล็ดลับในการทำธุรกิจคือเดินไปพร้อมกับสังคมและชุมชน” เขากล่าวพร้อมกับแสดงความมั่นใจว่า “ตราบใดโลกใบนี้ยังหมุนอยู่ กระดาษก็ยังขายได้ และทำให้ ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ ยังมีเรื่องราวให้บอกเล่าไม่รู้จบ”
“PAPER BLOG” บันทึกที่ยังไม่สิ้นสุดของกระดาษทำมือ เป็นนิทรรศการที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) จัดขึ้นร่วมกับ Coth Studio เพื่อนำเสนอเนื้อหาและเรื่องราวของ “กระดาษทำมือ” ในชีวิตของผู้ประกอบการกระดาษ 2 ท่านในพื้นที่ภาคเหนือ คือ ปาป้า เปเปอร์ คราฟต์ และช่างกระดาษเวฬุวัน ที่แต่ละท่านได้คิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสรรค์สร้างและแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของกระดาษทำมือ และยังความงามที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ในยุคสมัยนี้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้าชมได้ไปจนถึงวันที่ 25 เมษายน 2564 เวลา 10.30 - 19.00 น. ที่ศูนย์นวัตกรรมด้านวัสดุและการออกแบบ (MDIC) ชั้น 2 และ Creative Space ชั้น 5 อาคารส่วนหลัง TCDC กรุงเทพฯ
เรื่อง : พัตรา พัชนี
Website : www.papapaper.info
Facebook : https://www.facebook.com/papapaperfactory
Line OA : @papapaper
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น